ความหมายของวัยเด็กตอนต้น
หมายถึง วัยเด็กตอนต้น (early childhood) หรือวัยก่อนเรียน (pre-school age) เป็นวัยที่มีอายุอยู่ในช่วง 2-6 ปี วัยนี้พัฒนามาจากวัยทารก เด็กเริ่มรู้จักบุคคล สิ่งแวดล้อม สิ่งของ สามารถใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้หลากหลาย เริ่มเข้าใจลักษณะการสื่อสาร และสามารถใช้ภาษาได้มากขึ้น จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่ และการมีความสามารถดังกล่าวกระตุ้นให้เด็กต้องการแสดงความสามารถที่มีอยู่วัยนี้จึงมีลักษณะเด่นคือชอบแสดงความสามารถ ชอบอาสาช่วยเหลือ ช่างประจบ ซุกซน อยากรู้อยากเห็น ช่างถาม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบปฏิเสธ ค่อนข้างดื้อ ต้องการมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง เริ่มรู้จักพึ่งพาตนเอง และไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การทำกิจกรรม การเรียนรู้เหตุผล สิ่งใดผิดถูก การเรียนรู้วิธีแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง นอกจากนี้เด็กจะแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนจากการพูดคุย การแสดงออก ความเฉลียวฉลาด ซึ่งจะเป็นเอกลักษณ์ของเด็กแต่ละคนด้วย ดังนั้นจึงพบว่าเด็กวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิกภาพและมีพัฒนาการด้านจริยธรรมอย่างชัดเจน
การพัฒนาการส่วนใหญ่ของเด็กวัยนี้ ขึ้นอยู่กับเรื่องการปรับตัวให้คุ้นกับสิ่งแวดล้อม และเรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมที่เหมาะสม เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับจะอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้นในวัยต่อไป เด็กวัยนี้มีความอยากรู้อยากเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวว่ามีอะไรบ้าง รู้สึกอย่างไรเมื่อสัมผัสและต้องการมีสวนเกี่ยวข้องด้วย เด็กวัยนี้จึงมักจะชอบถามจนเรียกได้ว่าเป็นวัยชอบถาม มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการ
การได้รับวัคซีนในวัยเด็กตอนต้น
กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศกำหนดการให้วัคซีนแกเด็กปกติตั้งแต่แรกเกิดเป็นต้น
อายุ | วัคซีนที่ให้ | ข้อแนะนำ |
2 - 21/2 ปี |
JE3
| เป็นการฉีดกระตุ้น ใช้เฉพาะในท้องถิ่นที่มีโรคนี้ชุกชุม ( ตามแผนปฏิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุข ) |
4 – 6 ปี |
DTP5 , OPV5 | ถ้าอายุเกิน 6 ปี ให้ dT แทน DT และควรฉีด dT ซ้ำ ทุก 10 ปี ( หากมีบาดแผลที่เสี่ยงต่อบาดทะยัก ควรฉีด dT ซ้ำหากเคยฉีดมาเกิน 5 ปี ) |
BCG |
1. ให้กรณีที่ไม่มีแผลเป็นจากการฉีด ครั้งก่อน 2. เด็กที่มีอาการของโรคเอดส์ไม่ให้ |
MMR2 |
ถ้าไม่มีวัคซีน ให้ใช้วัคซีนหัด และหัดเยอรมันแยกกัน |
( พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา.การพยาบาลเด็ก เล่ม 1.กรุงเทพมหานคร : ยุทธรินทร์ การพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่ 7 2552 ) , ( สมจิตร์ จารุรัตนศิริกุล ,มาลัย ว่องชาญชัยเลิศ.กุมารเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอก : ชานเมืองการพิมพ์.พิมพ์ครั้งที่ 2 2549 )
วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ JE3 ( Japanese Encephalitis virus Vaccine : JE – VAX )
JE – VAX ใช้ฉีดเพื่อป้องกันโรคไข้สมองอักเสบ ซึ่งเกิดจาชื่อไวรัสชนิดหนึ่งที่มียุงเป็นพาหะของโรคเป็นวัคซีนเชื้อตาย ในปัจจุบันผลิตเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. วัคซีนชนิดน้ำ
2. วัคซีนชนิดผงแห้ง
ปฏิกิริยาจาการฉีดวัคซีน อาจมีอาการปวด บวม คัน หรือเจ็บบริเวณที่ฉีด อาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือปวดศีรษะ และวักซึ่งพบน้อย
ข้อควรระวัง ไม่ควรให้วัคซีนในกรณีต่อไปนี้
1. มีไข้สูง
2. มีประวัติการแพ้วัคซีนชนิดนี้
3. หญิงตั้งครรภ์
วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ( Diphtheria , Tetanus Toxoids and Pertussive vaccine combined : DTP )
DTP เป็นวัคซีนชนิด killed ( inactivated ) มี purified diphtheria toxoid purified tetanus toxoid และ inactivated pertussive vaccine
ปฏิกิริยาหลังให้วัคซีนและข้อควรระวัง
1. เด็กที่ได้รับวัคซีนนี้อาจมีไข้สูง และร้องรบกวนได้ ควรเช็ดตัวและให้ยาลดไข้ร่วมด้วยในรายที่มีประวัติชักจากไข้สูง นอกจากนี้บางรายอาจมีอาการปวด บวม แดงร้อน ซึ่งจะหายได้เอง
2. วัคซีน DTP นี้ ไม่ควรให้ในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป เพราะอาจมีปฏิกิริยาแทรกซ้อน รุนแรงได้จากวัคซีนป้องกันโรคไอกรน
3. ไม่ควรให้ในเด็กที่เป็นโรคลมชัก หรือโรคทางสมอง
4. ไม่ควรให้ร่วมกับวัคซีนป้องกันอหิวาต์ ไทฟอยด์ กาฬโรค และไม่ควรให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ภายใน 3 วัน หลังให้วัคซีนนี้
5. ไม่ควรฉีดให้เด็กในระยะที่มีโรคโปลิโอระบาด
6. ไม่ควรฉีดให้เด็กที่กำลังป่วยด้วยโรคอื่น ๆ หรือกำลังมีไข้สูง
วัคซีนป้องกันโปลิโอ ( Poliomyelitis Vaccine )
วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอที่ใช้แพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ
1. ชนิดรับประทาน attenuated live oral poliomyelitis vaccine ( OPV )
2. ชนิดฉีด Inactivated poliomyelitis vaccine ( IPV )
OPV เป็นวัคซีนที่เตรียมจากเชื้อไวรัสโปลิที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงแล้วไม่ก่อให้เกิดโรค ชนิดกินทำให้เกิดภูมคุ้มกันได้เร็วและอยู่ได้นาน รวมทั้งก่อให้เกิดภูมคุมกันเฉพาะที่ต่อเชื่อไวรัสโปลิโอที่เยื่อบุของลำไส้ ซึ่งจะช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค
วัคซีนป้องกันโรค ( BCG Vaccine )
BCG เป็นวัคซีนป้องกันวัณโรค ชนิดเชื้อมีชีวิต ( live vaccine ) แต่หมดฤทธิ์ในการทำให้เกิดโรค ( attenuated strain ) ใน 1 มล. ประกอบด้วยเชื้อ BCG2 – 10 ล้านตัว ตามมาตรฐานขององค์กรการอนามัยโลก
ปฏิกิริยาจากการฉีดวัคซีน หลังจากฉีดบริเวณที่ฉีดจะเกิดตุ่มสีขาวซีดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ขนาดประมาณ 7 - 8 มม.หลังจากนั้นจะเป็นรอยสีแดง หลังจากฉีดประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ หรื 1 เดือน บริเวณฉีดจะเห็นเป็นตุ่มสีแดง ต่อมาจะมีน้ำขุ่นคล้ายหนองออกมาเป็นครั้งคราวอยู่ 1 - 2 เดือน แล้วจึงหายกลายเป็นแผลเป็นเล็ก ๆ ไม่ควรบ่งหนอง และไม่จำเป็นต้องใส่ยา หรือปิดแผล ให้ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกเช็ดก็เพียงพอแล้ว
วัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน ( Measles Mumps and Rubella Vaccine - Live ; MMR )
MMR เป็นวัคซีนรวม 3 ชนิด ประกอบด้วยวัคซีนไวรัสโรคหัดที่ได้จากไวรัสหัดอ่อนฤทธิ์ วัคซีนไวรัสโรคคางทูมมีชีวิตที่อ่อนฤทธิ์ และวัคซีนไวรัสโรค rubella มีชีวิตอ่อนฤทธิ์
ปฏิกิริยาจากการฉีดวัคซีน ปวด บวมบริเวณที่ฉีด มีไข้ ผื่นขึ้นตามตัว อาจมีอาการคล้ายแพ้ยา หายใจลำบาก
ข้อควรระวัง
1. ไม่ควรให้วัคซีนนี้แก่หญิงตั้งครรภ์
2. ห้ามให้กับเด็กที่ป่วยเป็นวัณโรค
3. เด็กเป็นไข้เลื่อนการฉีดไปจนกว่าไข้จะลดลง แต่ถ้าเป็นหวัดไม่มีไข้ให้ฉีดได้
4. ไม่ฉีดยาให้แก่เด็กที่มีประวัติแพ้ neomycin
5. ผู้ที่มีความผิดปกติในภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันไม่ควรรับวัคซีนนี้ ยกเว้นผู้ป่วยติดเชื้อ HIV
( พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา.การพยาบาลเด็ก เล่ม 1.กรุงเทพมหานคร : ยุทธรินทร์ การพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่ 7 2552 )
พัฒนาการด้าน
พัฒนาการทางด้านร่างกาย
พัฒนาการทางกายของเด็กวัยนี้จะเป็นไปอย่างช้า ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับวัยทารก การเจริญเติบโตจะเป็นไปในลักษณะเพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ สามารถทำงานได้เต็มที่ตามหน้าที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการเจริญเติบโตทางด้านน้ำหนัก และส่วนสูง การเพิ่มของน้ำหนักเกิดจากการเจริญเติบโตของกระดูก และกล้ามเนื้อ ซึ่งต่างจากวัยทารกที่การเพิ่มน้ำหนักเกิดจากเนื้อเยื่อไขมัน ประกอบกับเด็กวัยนี้จะรับประทานอาหารได้น้อย และเลือกรับประทานอาหารเฉพาะที่ชอบเท่านั้น
ลักษณะร่างกายและสัดส่วนของวัยนี้จะเปลี่ยนแปลงจากลักษณะทารกอย่างชัดเจน กล่าวคือ ช่องท้องบางลง หน้าอกและไหล่กว้างและใหญ่ขึ้น แขนขายาวออกไป ศีรษะได้ขนาดกับลำตัว มือและเท้าใหญ่ขึ้น โครงกระดูกแข็งขึ้น กล้ามเนื้อเติบโตแข็งแรงขึ้น มีการเพิ่มความสูงอย่างสม่ำเสมอ 3 นิ้วต่อปี และน้ำหนักเพิ่มสม่ำเสมอปีละ 1.5-2 กิโลกรัม และในช่วงปลายของวัยนี้จะมีฟันแท้ขึ้น 1-2 ซี่
เด็กวัยนี้เริ่มมีทักษะการเคลื่อนไหวและสามารถใช้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ระบบกล้ามเนื้อและประสาทสัมผัสทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นเด็กจะชอบช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เช่น การป้อนข้าวเอง แต่งตัว ใส่รองเท้า อาบน้ำ หวีผม เขียนหนังสือ การหยิบจับต่าง ๆ ชอบเล่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ สามารถเดิน วิ่ง กระโดด ห้อยโหน อย่างคล่องแคล่ว และไม่รู้จักเหนื่อย เพราะการได้เล่นกับเพื่อนจะช่วยให้เด็กรู้สึกอบอุ่น ไม่ถูกทอดทิ้ง
( http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/SSC231/Psychology/Chapter2/Ch2.pdf วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 23 :29 )
พัฒนาการทางด้านอารมณ์
อารมณ์มีบทบาดสำคัญต่อชีวิตของเด็กทุกคน วัยเด็กนี้จะมีพัฒนาการการแสดงออกด้านอารมณ์ที่ชัดเจน เปิดเผย อิสระ ทั้งอารมณ์พึงพอใจและไม่พึงพอใจ มักจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตัวเอง ดื้อรั้น หงุดหงิด โมโหร้าย ชอบปฏิเสธ อารมณ์ในทางลบที่เด็กแสดงออกจะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเด็กต้องเข้าสังคมในกลุ่มเพื่อน อย่างไรก็ตาม เด็กวัยนี้สามารถสร้างความรัก และความผูกพันกับบุคคลอื่นๆ ได้ เช่น เพื่อนสนิท ผู้เลี้ยงดู เพื่อให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ สำหรับลักษณะอารมณ์เด่น ๆ ที่มักเกิดขึ้นในเด็กวัยนี้ คือ
1. อารมณ์โกรธ เด็กวัยนี้จะโกรธง่ายจากการต้องการเป็นตัวของตัวเอง บางครั้งอาจโกรธตัวเองหรือโกรธบุคคลที่เกี่ยวข้อง อารมณ์โกรธเกิดเมื่อเด็กไม่ได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการ แสดงออกโดยการร้องไห้ดิ้นกับพื้นเสียงดัง ทิ้งตัวลงนอน กรี๊ด ทุบตีสิ่งของต่าง ๆ ทำร้ายตัวเอง เป็นต้น
2. อารมณ์รัก เด็กวัยนี้จะรักบุคคลที่ให้การตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการ แสดงอารมณ์รักอย่างเปิดเผย เช่น การกอดจูบบุคคลหรือสิ่งของที่รัก
3. อารมณ์กลัว อารมณ์กลัวเกิดจากการได้พบสิ่งแปลกใหม่ หรือกลัวในสิ่งที่จินตนาการไปเอง เช่น กลัวความมืด กลัวผี และมักเลียนแบบความกลัวจากผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดจะแสดงออกโดยการหลบซ่อน วิ่งหนี วิ่งเข้าหาผู้ใหญ่ และจะค่อยลดลงหากได้รับการอธิบายและให้เด็กเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งนั้น ๆ
4. อารมณ์อยากรู้อยากเห็น วัยนี้จะเป็นวัยช่างซักถาม เด็กจะสงสัยทุกเรื่องและถามได้ตลอดเวลา ไม่สิ้นสุด จะตั้งคำถามมากจนตอบไม่หมด หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองที่ถูกต้องจะทำให้ความอยากรู้อยากเห็นลดลงน้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน
5. อารมณ์อิจฉาริษยา มักจะเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าตนด้อยกว่าผู้อื่น หรือกำลังสูญเสียความสนใจที่ตนเคยได้รับถูกแบ่งปันให้บุคคลอื่น เช่น การมีน้องใหม่ อิจฉาพี่น้องคนอื่น มักแสดงออกคล้ายกับอารมณ์โกรธ หรืออาจแสดงภาวะถดถอยกลับไปสู่ความเป็นทารกอีกครั้ง เช่น ปัสสาวะรดที่นอนบ่อย การดูดมือ ดื้อดึง ร้องไห้ง่าย งอแง เป็นต้น
6. อารมณ์ร่าเริง ดีใจหรือสนุกสนาน อารมณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อเด็กได้รับการตอบสนองตามที่ตนต้องการทันเวลา สม่ำเสมอ หรือประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แสดงออกด้วยการหัวเราะ ส่งเสียงดัง ยิ้ม ปรบมือ กระโดดโลดเต้น เป็นต้น
พัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กวัยนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และมีความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้สึกมั่นคงของเด็กต่อไป และความรู้สึกที่มั่นคงทางอารมณ์จะช่วยพัฒนาให้เด็กมีการพัฒนาความเจริญงอกงามด้านจิตใจ และสามารถเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ด้วยความเต็มใจและมั่นใจยิ่งขึ้น
พัฒนาการทางด้านสังคม
พัฒนาการทางสังคมของวัยเด็กตอนต้นจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ชัดเจน เด็กจะชอบการเข้าสังคม การพบปะพูดคุยกับผู้คน การมีเพื่อน การเล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนทั้งเพศเดียวกัน และต่างเพศ เด็กจะมีความคิด และการเล่นที่อิสระ ไม่ชอบกฎเกณฑ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถรักษากฎเกณฑ์ของกลุ่มเพื่อนได้นาน จะเป็นลักษณะต่างคนต่างเล่น แต่จะเล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน ต่อมาถึงจะพัฒนาการเล่นที่มีลักษณะคล้าย ๆ กัน โดยสามารถเล่นรวมกลุ่มกับเพื่อนได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ชอบเข้าสังคมกับกลุ่มเพื่อนบ่อยขึ้น เป็นสมาชิกในกลุ่มเพื่อนได้ โดยพยายามปรับตัวให้เป็นที่ยอมรับของกลุ่มซึ่งอาจแสดงออกโดยการแบ่งปันสิ่งของให้กับผู้อื่น ให้ความร่วมมือ ยอมรับฟัง แสดงออกถึงความเป็นผู้นำ ชอบเล่นบทบาทสมมติ เป็นพ่อ-แม่ คุณครู–นักเรียน ตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างเพศ พยายามช่วยเหลือตนเอง และช่วยเหลืองานบ้าน เช่น ซักผ้า เก็บของ ล้างจาน ปิด - เปิดไฟ พัดลม โทรทัศน์ได้จากการสังเกตผู้ใหญ่ และลองกระทำเอง นอกจากนี้เด็กวัยนี้จะเรียนรู้การเข้าสังคมในกลุ่มที่มีอายุต่าง ๆ กัน รู้จักปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทั้งวัยเดียวกัน และวัยต่างกัน เรียนรู้มารยาทการไหว้ทักทาย การพูดคุย เด็กจะพยายามเรียนรู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ตลอดจนเรียนรู้ที่จะระมัดระวังคนแปลกหน้า อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของเด็กจะเป็นไปได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับประสบการณ์การเลี้ยงดูที่เด็กได้รับจากครอบครัว เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างมีอิสระจะมีความเชื่อมั่นในตนเองมากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงแบบเข้มงวดตลอดเวลา นอกจากนี้สัมพันธภาพในครอบครัวถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เด็กที่เติบโตมาจากครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจะมีความรู้สึกกล้าและมั่นใจในการเข้าสังคมนอกบ้านมากกว่าเด็กที่เติบโตจากครอบครัวที่มีปัญหาด้านสัมพันธภาพ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
วัยนี้เป็นวัยที่ชอบแก้ปัญหาตามความคิดและวิธีการของตนเอง ชอบอิสระ แสวงหาวิธีการต่าง ๆ จากการทดลองปฏิบัติผิดถูก การซักถาม การเปรียบเทียบ การคิด การเจริญงอกงามทางสติปัญญาสามารถสังเกตได้จากลักษณะพฤติกรรมการแสดงออกทางการเล่น การสามารถจำสิ่งของหรือบุคคลต่าง ๆ อย่างถูกต้อง สามารถบอกความเหมือน ความต่าง มีความคิดสร้างสรรค์ กล้าแสดงออก การนำเอาสิ่งที่มีอยู่มาสัมพันธ์กัน ประกอบกับเด็กวัยนี้สามารถใช้ภาษาได้ดีขึ้น เข้าใจภาษา ความหมายของคำใหม่ ๆ อ่านและเขียนได้ดีขึ้น การส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาที่เหมาะสมจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่จะช่วยให้เด็กมีวิธีคิด การเรียนรู้ที่เหมาะสม และก่อให้เกิดทางเลือกและวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยพัฒนาต่อพัฒนาการในวัยต่อไป
( http://www.thailocaladmin.go.th/work/e_book/eb6/eb6_3/3km7.pdf วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22.34 )
การส่งเสริมพัฒนาการ
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย
กิจกรรมที่ควรส่งเสริมและสนับสนุนด้านร่างการเพื่อให้เด็กได้มีโอการพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ( กล้ามเนื้อแขน - ขา - ลำตัว ) กล้ามเนื้อเล็ก ( กล้ามเนื้อมือ - นิ้วมือ ) และการประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อและระบบประสาท (กล้ามเนื้อมือ - ประสาทตา ) ในการทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายต่างจังหวะดนตรี การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การเล่นออกกำลังกายกลางแจ้ง เป็นต้น ประสบการณ์ที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วยการเคลื่อนไหวและการทรงตัวการประสาน
กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่
เพื่อให้เด็กพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวและความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่าง ๆ จึงแนะนำให้จัดกิจกรรมให้เด็กดังนี้
1. เล่นกิจกรรมกลางแจ้ง เป็นกิจกรรมที่มีความหลากหลาย มุ่งพัฒนาด้านกล้ามเนื้อใหญ่ ในขณะเดียวกันเป็นการฝึกให้เด็กได้คิดตัดสินใจเลือกโดยอิสระด้วยตนเอง เด็กเป็นผู้เลือกที่จะเล่น ทั้งวิธีการเล่น วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ สถานที่ที่จะเล่น รวมถึงเวลาที่จะเล่น
2. การเล่นเครื่องสนาม เป็นกิจกรรมการเล่นเพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง มีโอกาสปฏิบัติและกระทำกับอุปกรณ์เครื่องเล่นสนามได้อย่างอิสระ เป็นโอกาสที่เด็กจะได้ใช้กล้ามเนื้อใหญ่ในการทรงตัว การโหน การโยกไหว การปีนขึ้นและไต่ลง ควรมีการแนะนำวิธีการเล่นที่ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ
3.การเคลื่อนไหวร่างการตามจังหวะดนตรี เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างอิสระตามจังหวะ ด้วยเสียงเพลง คำคล่องจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณ์อื่น ๆ มาประกอบการเคลื่อนไหว
กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
เพื่อให้เด็กพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก การประสานความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา จึงแนะนำให้จัดกิจกรรมให้เด็กดังนี้
1.การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส เป็นการที่เด็กใช้ประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น และการสัมผัส เพื่อรับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุสิ่งของที่เป็นเครื่องเล่นชนิดต่าง ๆ
2.การฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย คือ ฝึกให้เด็กรู้จักหน้าที่การปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน เกี่ยวกับการสวม - ถอดเสื้อผ้า การทาแป้ง การหวีผม การถอด - ใส่ถุงเท้า รองเท้าด้วยตัวเอง การรู้จักเลือกแต่งการที่เหมาะสมกับสถานที่ โอกาส และฤดูกาล โดยครูที่ดูแลเด็กเปิดโอกาสให้เด็กเลือกเสื้อ กางเกง กระโปรง รองเท้า ถุงเท้า จากนั้นให้เด็กแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เด็กเลือก
3.การหยิบจับช้อน - ส้อม การจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้มีโอกาสหยิบจับช้อน - ส้อม ประกอบด้วย สถานที่บริเวณที่เด็กใช้รับประทานอาหาร ภาชนะ โต๊ะสำหรับเด็กนั่งรับประทานอาหาร
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านอารมณ์
เป็นการสนับสนุนให้เด็กแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกที่เหมาะสมกับวัย มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส ได้พัฒนาความรู้สึกต่อตนเอง และความเชื่อมันในตนเองจากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น เล่น ฟังนิทาน ท่องคำคล่องจอง ร้องเพลง เป็นต้น
ประสบการณ์ที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การรับรู้อารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง การแสดงอารมณ์ที่เป็นสุข การควบคุมอารมณ์และการแสดงออก พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เด็กรู้สึกเป็นที่รัก อบอุ่น มั่นคน เกิดความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น
กิจกรรมที่ควรส่งเสริมและสนับสนุนด้านร่างการเพื่อให้เด็กได้มีโอการพัฒนาการด้านอารมณ์ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมที่ให้เด็กมีโอกาสตัดสินใจเลือก เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นและกระทำกิจกรรมทั้งเดี่ยวและกลุ่ม มีอิสระเลือกตามความพอใจและความสนใจของเด็ก
2. จัดกิจกรรมให้เด็กได้ตอบสนองความต้องการ เป็นวิธีการสร้างความภาคภูมิใจ สร้างความสุขในการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่นละกล้าแสดงออก ส่งผลให้เกิดนิสัยใฝ่เรียนใฝ่รู้ โดยครูผู้ดุแลเด็กต้องสร้างความไว้วางใจให้เด็กรู้สึกอบอุ่นและเป็นมิตรเพื่อให้ตอบสนองกิจกรรมที่กำหนดขึ้น
3. การฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม คือ การที่ครูผู้ดูแลเด็กจัดกิจวัตรประจำวัน ให้เด็กมีโอกาสพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การรู้จักช่วยเหลือ แบ่งปัน มีความเมตตา การมีวินัย การรู้จักอดทน และมีความรับผิดชอบ ที่เหมาะสมกับวัย และสอดคล้องต่อวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณี
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสังคม
เป็นการสนับสนุนให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน ได้ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เล่นอย่างมีอิสระ เล่นรวมกลุ่มกับผู้อื่น ๆ แบ่งปันหรือการให้ รู้จักการรอคอย ใช้ภาษาบอกความต้องการ ช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน
ประสบการณ์ที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การช่วยเหลือตนเอง การปรับตัวอยู่ในสังคม เด็กควรมีโอกาสได้เล่นร่วมกลุ่มหรือทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นเด็กวัยเดียวกันหรือต่างวัย เพศเดียวกันหรือต่างเพศหรือผู้ใหญ่อย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนฝึกให้ช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันตามวัยที่เด็กสามารถทำได้
ควรส่งเสริมและสนับสนุนด้านร่างการเพื่อให้เด็กได้มีโอการพัฒนาการด้านสังคม ดังนี้
1. การรับประทานอาหาร ควรจัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปลูกผังให้เด็กรู้จักคุณค่าของอาหาร รวมถึงการมีมารยาทในการรับประทานอาหาร
2. การผักผ่อนนอนหลับ คือ การนั่ง การนอน การหลับตา การฟังเพลงเบา ๆ การหลับตา ตลอดจนกิจกรรมผ่อยคลายหลังกิจกรรมการออกกำลังกาย การละเล่นที่ใช้กำลังมาก ๆ เป็นกิจกรรมที่อาศัยอิริยาบถที่สบาย
3. การทำความสะอาดร่างกาย หมายถึง การล้างหน้า การ แปรงฟัน การอาบน้ำ การตัดเล็บ การล้างมือ และอื่น ๆ ผู้ดูแลเด็กควรอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงการทำความสะอาดอย่างเป็นขั้นตอน
4. การเล่นและการทำงานร่วมกับผู้อื่น การเล่นเป็นประสบการณ์การสำคัญสำหรับการเรียนรู้ในวัยเด็กตอนต้น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม และก็เป็นการพัฒนาสติปัญญาจากการซึมซับความรู้และพฤติกรรมต่าง ๆ จากการเล่น
5. การปฏิบัติตามกฎ กติกา ข้อตกลง หมายถึง การฝึกให้เด็กแสดงออกอย่างเสรี แต่อยู่ภายใต้ขอบเขตในวินัยของตนเองเป็นสำคัญ เพื่อให้เด็กสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่มีต่อการประพฤติปฏิบัติของตนเอง เป็นการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา
เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในชีวิตประจำวันผ่านประสารทสัมผัสทั้ง 5 และการเคลื่อนไหว ได้พัฒนาการใช้ภาษาสื่อความหมายและความคิด รู้จักสังเกตคุณลักษณะไม่ว่าจะเป็น สี ขนาด รูปร่าง รูปทรง ผิวสัมผัส จดจำชื่อเรียกสิ่ง ๆ รอบตัว มีการฝึกใช้อวัยวะรับสัมผัสต่าง ๆ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวหนังในการแยกแยะสิ่งที่รับรู้ และเรียนรู้เกี่ยวกับความเหมือน ความแตกต่างและมิติสัมพันธ์
บทสรุป
วัยเด็กตอนต้นเป็นวัยที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาการที่จะนำไปสู่วัยอื่น ๆ เป็นวัยที่มีการพัฒนาการและเปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ ทางที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการทางด้านร่างกาย ทางด้านอารมณ์ ทางด้านสังคม และทางด้านสติปัญญา ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากและจะควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน เด็กในวัยนี้จะเป็นวัยที่ชอบช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น ผู้ปกครองและผู้ดูแลควรให้อิสระแก่เด็กในการทำกิจกรรมช่วยเหลือตนเองบ้าง เช่น แต่งตัวเอง ใส่ – ถอดรองเท้าเอง ทานอาหารเองเป็นต้น และเด็กในวัยนี้ชอบเป็นวัยที่ชอบพูด เด็กจะเข้าไปพูดกับบุคคลอื่น ๆไม่ว่าจะเป็นคนรู้จักหรือคนแปลกหน้าก็ตาม และเด็กในวัยนี้ยังเป็นวัยที่ชอบเข้าสังคมกับเพื่อนทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศ
วัยเด็กตอนต้นเป็นวัยที่มีบุคลิกภาพที่จะเด่นชัดที่สุด คือ เด็กในวัยนี้จะมีความต้องการเป็นส่วนตัวสูง เด็กในวัยนี้จะเริมเรียนรู้ในการมีเหตุผล - ใช้เหตุผล และความรู้ในการคิดทางด้านคุณธรรม จริยธรรม ดังนั้นการดูแลเลี้ยงดูที่ถูกต้องและเหมาะสำหรับเด็กวัยนี้จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ ดีขึ้น และถูกตองเหมาะสมต่อไป เพื่อให้พัฒนาการของเด็กในวัยอื่น ๆ มีความเหมาะสมด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
1.นิตยา คชภักดี. ตำรากุมารเวชศาสตร์ เล่ม 3 . กรุงเทพมหานคร : โฮลิสติก พับลิชชิ่ง , 2549 หน้าที่ 1
3.พรทิพย์ ศิริบูรณ์พิพัฒนา.การพยาบาลเด็ก เล่ม 1.กรุงเทพมหานคร : ยุทธรินทร์ การพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่ 7 2552. หน้า 74
4.สมจิตร์ จารุรัตนศิริกุล ,มาลัย ว่องชาญชัยเลิศ.กุมารเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอก : ชานเมืองการพิมพ์.พิมพ์ครั้งที่ 2 2549 . หน้า 45
5.http://eu.lib.kmutt.ac.th/elearning/Courseware/SSC231/Psychology/Chapter2/Ch2.pdf วันอังคารที่
13 กันยายน พ.ศ. 2554 เวลา 23 :29
นางสาวกรวิภา โทเรธรรม รหัสนิสิต 5305110001 คณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2